วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธปท.เตือนภัยรบ.ใหม่ทุ่มเงินส่อก่อวิกฤติหนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตือนรัฐบาลใหม่หยุดทุ่มงบประมาณเหตุ ต้องเตรียมเงินไว้รับมือวิกฤติเหตุหากเผลอซ้ำรอยหนี้สหรัฐ-ยุโรปได้ ยอมรับวันนี้ตลาดเงิน-หุ้นป่วน

 

ดร.ประสาร ไตรรัตนวรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประเมินว่าการที่สหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากAAA" มาอยู่ที่"AA+ "สะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโลก สามารถเกิดขึ้นได้หมดแต่ละประเทศไม่มีข้อยกเว้น ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐก็มีสิทธิถูกปรับลดเรทติ้งได้เช่นกัน ที่สำคัญบทเรียนครั้งนี้ สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า การทิ้งปัญหาไว้เรื้อรัง จะแก้ไขได้ยาก เพราะปัญหาหนี้ของสหรัฐ สะสมมาอย่างยาวนาน และเมื่อเผชิญหน้าวิกฤติสหรัฐก็ไม่มีเครื่องมือทางการเงิน การคลัง พอที่จะฝ่าปัญหาไปได้ การเพิ่มเพดานหนี้ก็ไม่ได้แนวทางของการแก้ปัญหาหนี้ ยิ่งเมื่อหันมาดูสถานการณ์หนี้ในยุโรป ทำให้ประเมินต่อไปว่าสถานการณ์ข้างหน้านั้นเศรษฐกิจโลกมีความสุ่มเสี่ยงสูงมาก ตลาดเงิน ตลาดทุน มีโอกาสจะผันผวนได้อีก

 

เขาเห็นว่าบทเรียนทั้งสหรัฐและยุโรปได้เตือนแนวทางการบริหารแนวนโยบายของไทยได้เป็นอย่างดีว่า"อย่าเผลอประมาท" ชะล้าใจกับความแข็งแกร่งเศรษฐกิจไทยในวันนี้ เพราะหากเห็นว่าหนี้สาธารณะของไทยมีเพียง 42%ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)แล้วเน้นทุ่มเงินกระตุ้นกำลังซื้อเข้าไปอีก วันหนึ่งอาจจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกับสหรัฐและยุโรปได้ เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทย"เล็กและเปิดเสรี" หากเกิดปัญหาขึ้นมา จะเกิดความอ่อนไหวสูง กระทบความเชื่อมั่น เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรง หนี้ภาครัฐของไทยที่ดูเหมือนจะมีอัตราน้อยวันนี้ อาจจะกระโดดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว และเรื้อรังจนยากเกิดเยียวยา ดังนั้นจึงไม่ควรเผลอไปกับแนวทางที่ผิดพลาด

 

ดร.ประสาร กล่าวว่า ปัญหาสหรัฐและยุโรป คือขาดกระสุนในยามที่จำเป็น เพราะเงินในคลังไม่มี นโยบายการเงินดอกเบี้ยต่ำไปแล้ว หมดเครื่องมือแก้ปัญหา ดังนั้นไทยเอง ต้องเตรียมกระสุนให้มากพอ หากข้างหน้าเกิดปัญหาขึ้นมาเราจะได้เตรียมพร้อม ดังนั้นอย่าเผลอแม้จะมีภูมิคุ้นกันเพดานหนี้ไม่ให้เกิน 60%ของจีดีพี ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าหากพลาดแล้วจะคุมที่เพดานดังกล่าวได้ เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก หากกระทบต่อความเชื่อมั่นแล้วผลจะย้อนกลับมารุนแรง

ผู้ว่าการธปท.เห็นว่าแนวนโยบายรัฐบาลใหม่ที่ถูกต้อง คือหยุดการกระตุ้นเศรษฐกิจ"อย่าใช้กระสุนให้สิ้นเปลือง" ต้องระมัดระวังด้านนโยบายการคลัง ควรเก็บงบประมาณแผ่นดินไว้ใช้ยามที่จำเป็นหรือรับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า เนื่องจากการกระตุ้นอุปโภค บริโภคไม่จำเป็นทั้งสิ้น เพราะตัวเลขการใช้จ่ายไม่ได้ตกต่ำแต่อย่างใด ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีเหตุผลที่จะกระตุ้นอีก เวลานี้จึงควรหันมาใช้เงินอย่าง"ฉลาด" นั้นคือเน้นไปลงทุนเพื่อรักษาเสภียรภาพในระยะยาว ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่ช่วยเพิ่มขีดแข่งขันของประเทศในอนาคต เนื่องจากโครงสร้างงบประมาณในการลงทุนวันนี้แค่ 16%ของงบประมาณเท่านั้น ขณะที่โดยเฉลี่ยของหลายประเทศอยู่ที่ 23%

 

ดร.ประสาร กล่าวว่า การปรับลดเรทติ้งสหรัฐนั้น สำหรับผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุนนั้น วันนี้ต้องติดตามปฎิกริยานักลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะข่าวการหั่นเรทติ้งสหรัฐนั้นเกิดขึ้นหลังตลาดหุ้น ตลาดเงินปิดทำการไปก่อน อย่างไรก็ตามในระยะสั้นคงยังไม่เห็นปรากฎการณ์เทขายพันธบัตรสหรัฐ เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนเป็นธนาคารกลางทั่วโลก แต่ระยะกลางและยาวเชื่อว่าจะมีการลดน้ำหนักลงเรื่อย เห็นได้จาก ปี 2001 ธนาคารกลางทั่วโลก สำรองเงินทุนในรูปพันธบัตรสหรัฐถึง 73%ของโครงสร้างทุนสำรอง แต่ในไตรมาสแรกของปีนี้ 2011 เหลือสัดส่วนเพียง 51%เท่านั้น ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะหันมาถือทองคำมากขึ้นด้วย ซึ่งธปท.เองก็พยายามกระจายความเสี่ยงดังกล่าวเช่นเดียวกัน

 

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น อาจจะมีผลในจิตวิทยาบ้าง อันเนื่องมาจากนักลงทุนจะทิ้งหลักทรัพย์ในประเทศเกิดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ขณะเดียวกันในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน ก็มีความเป็นไปได้มากว่าสกุลเงินในภูมิภาคก็จะอ่อนค่าลง ซึ่งในส่วนของแนวนโยบายดูแลนั้น ธปท.ก็ได้วางกรอบไว้แล้ว

 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ นักเศรษฐศาสตร์อิสระ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเศรษฐกิจโลกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศหลักๆที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ได้แก่ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นล้วนมีปัญหาเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามแม้เรทติ้งของสหรัฐจะถูกปรับลดลง แต่เชื่อว่าพันธบัตรหรือตราสารการเงินของสหรัฐ จะยังคงเป็นตราสารที่กองทุนต่างประเทศถือครองอยู่ต่อไป เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีตราสารหรือพันธบัตรประเทศใดมีความเคลื่อนไหว หรือมีความคล่องตัวในการซื้อขายได้ง่ายมาก เท่ากับตลาดพันธบัตรของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรยุโรป หรือ ญี่ปุ่น ที่การซื้อขายค่อนข้างไม่สะดวก

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เครดิตเรทติ้งสหรัฐที่ถูกปรับลดลงคงมีผลให้ทิศทางตลาดการเงินของสหรัฐรวมถึงค่าเงินบาทไทยมีความผันผวนบ้างในระยะสั้น ส่วนระยะยาวนั้นยังต้องติดตามดูว่าสถานการณ์การแก้ปัญหาต่างๆ ของสหรัฐจะเป็นอย่างไรต่อไปอย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าหากเครดิตเรทติ้งสหรัฐไม่ถูกปรับลดลงอีก หรือสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายอื่นๆ ไม่ปรับลดลงตาม ปัญหาต่างๆ ก็ไม่น่าจะรุนแรงนัก เพราะปัจจุบันพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐยังคงเป็นตราสารที่ปลอดภัยและนักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความมั่นใจ

 

 นอกจากนี้ถ้าดูกรณีของญี่ปุ่นซึ่งเคยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเมื่อปี 2543 ขณะนั้นค่าเงินเยนเองมีความผันผวนแค่เพียงระยะสั้น แต่ระยะต่อมาพันธบัตรของรัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังมีความต้องการจากนักลงทุนอยู่

 

 ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า เชื่อว่ากรณีนี้คงมีผลต่อความผันผวนในตลาดสหรัฐแค่เพียงช่วงสั้น แต่ระยะยาวแล้วไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไร เพราะระดับเรทติ้ง AA+ ก็ถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน อาจมีเพียงบางกองทุนที่มีกฎว่าต้องถือตราสารในระดับ AAA เท่านั้น แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตีความด้วย เพราะบริษัทจัดเรทติ้งรายอื่นๆ อีก 2 แห่งยังไม่ได้ลดเรทติ้งของสหรัฐลงมา

 

Source :  News Center / Bangkokbiznews / VoiceTV (Image)