วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อากงปลงไม่ตก โดยโฆษกศาลยุติธรรม

อากงปลงไม่ตก โดยโฆษกศาลยุติธรรม

โฆษกศาลยุติธรรม เขียนบทความเรื่อง อากงปลงไม่ตก  เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง  โดยระบุว่า คดีนี้ศาลและกระบวนการยุติธรรม ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งในและต่างประเทศ 

 

โดยเขาเลือกชี้แจงใน 5 ประเด็นที่คิดว่าสังคมยังคงเคลือบแคลงสงสัย

 

นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เขียนบทความเรื่อง  อากงปลงไม่ตก เผยแพร่ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ   หลังจากวันที่ 23 พฤศจิกายน ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกนายอำพล หรือ อากง ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) และ (3)

คดีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จนเป็นคดีสะเทือนโลก  และนายสิทธิศักดิ์  ก็เปรียบเปรยว่า ความสนใจในคดีนี้ เหมือนกระแสน้ำไหลท่วมศาลและกระบวนการยุติธรรม 

ในความเห็นของนายสิทธิศักดิ์   เขามองว่า หลายคนที่วิจารณ์ผลคดีในทางลบ  ยังไม่รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวน  เขาจึงนำความจริงบางประการมานำเสนอ  โดยยกประเด็นข้อข้องใจในสังคมมาทั้งหมด 5 เรื่อง 

ข้อแรก อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก  นายสิทธิศักดิ์ ชี้แจงว่า ความเชื่อของบุคคลนอกศาลและกระบวนการยุติธรรม หาเหตุผลรองรับความชอบธรรมยาก  ในขณะที่คดี มีการสอบสวน กลั่นกรองจากอัยการ และให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่   

การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากง มีความผิด  เพราะได้ชั่งน้ำหนัก   พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่า  เป็นผู้กระทำความผิดจริง แต่ถ้าไม่เห็นด้วย  ไม่พอใจผลคำพิพากษา ก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย  แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์  จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ส่วนประเด็นเรื่อง โทษจำคุก 20 ปี นั้น นายสิทธิศักดิ์ เปรียบเทียบว่า การกล่าวคำหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ศาลก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว
สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 8  ก็บัญญัติว่า " ผู้ใดจะละเมิดมิได้" และยังกระทำซ้ำถึง  4 ครั้ง ด้วยถ้อยคำที่แตกต่างกัน  จึงแสดงถึงเจตนา  เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ  ศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามมาตรา 112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี  ส่วนอีก 5 ปี เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 
 
การที่ศาลชั้นต้นลงโทษความผิดหรือข้อความเอสเอ็มเอสแต่ละครั้ง  กระทงละ 5 ปี เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำเพียง 2 ปี ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลไม่ได้นำมาใช้ 

ส่วนประเด็นที่ 3 เรื่องอากงอายุมากแล้ว  ควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป หรือได้รับการประกันตัวนั้น  จำเลยมีอายุ 61 ปี ไม่ได้แก่ชรา  จนต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใด  และสามารถเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้  แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวด  ส่วนการจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่องๆ

นอกจากนี้ ประเด็นที่ 4 ที่ว่า ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลนั้น   นายสิทธิศักดิ์ ยก กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น มาประกอบพร้อมสรุปว่า กติการะหว่างประเทศ ระบุว่าการแสดงความคิดเห็น   เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แต่ต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล

ส่วนประเด็นสุดท้าย คือควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์  ความเห็นของนายสิทธิศักดิ์ ระบุว่ากฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้น  โดยฝ่ายนิติบัญญัติที่จากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้   ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม   ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น   และ แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคมและผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุชักจูงไปในทางที่เสียหายได้

โฆษกศาลยุติธรรมยังสรุปว่า หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตนเกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความพยาบาท ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปากและความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง

 

Produced by VoiceTV