สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุไทยคว้าจัดอันดับที่ 2 รองจากจีน เนื่องจากมีจุดเด่นเรื่องภาคเกษตรกรรม ขณะที่ จีนคว้าอันดับที่ 1 เนื่องจากมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 10 ต่อปี สำนักข่าวบลูมเบิร์ก จัดอันดับตลาดเกิดใหม่ที่เหมาะแก่การเข้าไปลงทุน ซึ่งอันดับที่หนึ่งตกเป็นของประเทศจีน ตามมาด้วยประเทศไทย เปรู และชิลี โดยสาเหตุที่จีนได้รับการจัดอันดับให้เป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนมากที่สุด เพราะ เศรษฐกิจจีนมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งนับตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2559 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะอยู่ที่ร้อยละ 9.4 ตามการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ อีกทั้ง หนี้สาธารณะของจีนยังอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก คือร้อยละ 16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศไทย ซึ่งรั้งอันดับที่ 2 นั้น ไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 45.3 ของจีดีพี โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ไทยได้รับอันดับที่ 2 ว่า นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในภาคเกษตรกรรม และไทยยังมีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างเข้มแข็ง ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ไทยเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุน ทางด้านของประเทศเวียดนาม ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา อัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีเวียดนาม อยู่ที่ร้อยละ 7.2 ขณะเดียวกัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บัลแกเรีย และโรมาเนีย ก็ได้รับการจับตามองเช่นเดียวกัน หลังจากที่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกอย่างอินเดีย และบราซิล ก็หลุดจาก 10 อันดับแรกตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนมากที่สุดไปแล้ว โดยอินเดียหล่นลงมาอยู่อันดับที่ 15 เนื่องจากดัชนีผู้บริโภคมีราคาแพงกว่าประเทศอื่นๆ ทางด้านของบราซิล ก็ตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 16 หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินในยุโรป ส่งผลให้ยอดการส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ก็คือ ปัญหาวิกฤตการเงินในกลุ่มยูโรโซน ที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า ปัญหานี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยตรง และทุกประเทศควรเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาดังกล่าว Produced by Voice TV |