วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปัญหาเหยียดผิวในวงการฟุตบอลอังกฤษ

ปัญหาเหยียดผิวในวงการฟุตบอลอังกฤษ

การเหยียดสีผิวในวงการกีฬา โดยเฉพาะวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะหลัง กำลังถูกจับตามองว่าอาจลุกลามกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศได้

 

การเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอล กลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลังจากเกิดกรณีอื้อฉาว ที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดสีผิวหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา เช่นกรณี ของหลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของทีม ลิเวอร์พูล ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้คำพูดในเชิงเหยียดสีผิวกับกับปาทริซ เอวร่า แบ๊กซ้ายชาวฝรั่งเศส ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกแดงเดือด เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าซัวเรซจะแก้ต่างว่าเป็นความแตกต่างของภาษา แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอ ก็ได้ตัดสินลงโทษแบนซัวเรซถึง 8 นัด พร้อมทั้งปรับเงินจำนวนมาก หรือกรณีของจอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมชาติอังกฤษ ของทีมเชลซี ที่ถูกจับภาพได้ว่า เอ่ยคำพูดเหยียดผิวกับแอนตั้น เฟอร์ดินันด์ นักเตะผิวสีเพื่อนร่วมชาติของทีมควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ทำให้เอฟเอตัดสินใจปลดเทอร์รี่ออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติ และเหตุการณ์บานปลาย จนทำให้ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซือของทีมสิงโตคำราม ประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อประท้วงการกระทำของเอฟเอ เนื่องจากคาเปลโล่ มองว่าเทอร์รี่ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน นอกจากนี้ ยังมีกรณี ทอม อเดเยมี่  นักเตะทีมโอลแฮม ที่ถูกแฟนบอลลิเวอร์พูลตะโกนต่อว่าระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอคัพ รอบ 3 เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา รวมถึงกรณีของหลุยส์ ซาฮา กองหน้าทีมเอฟเวอร์ตัน ที่ถูกแฟนฟุตบอลใช้ข้อความเหยียดสีผิวในทวิตเตอร์

 

เหตุการณ์อื้อฉาวเหล่านี้ ถูกขยายความเป็นประเด็นทางสังคม ที่ถูกพูดคุยกันกันอย่างกว้างขวาง จนมีการถกประเด็นดังกล่าวในรัฐสภาอังกฤษหลายครั้ง ด้วยความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาษลักษณ์ของประเทศ ที่กำลังจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งผู้ที่ถูกตำหนิมากที่สุด ก็คือสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในฐานะที่ไม่เข้มงวดในการป้องกันการเหยียดผิว ทั้งที่มีพระราชบัญญัติควบคุมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ปี  2534 หรือ The 1991 Football Offenses Act คอยควบคุม

 

ขณะเดียวกัน หลายองค์กรที่เกี่ยวข้องในระดับสากล ก็มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ว่าเป็นองค์กรใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล อย่างสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ที่มีแคมเปญ Say No to Racism ในการแข่งขันฟุตบอลโลก
แม้เซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานฟีฟ่าจะถูกโจมตีจากการให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าไม่มีการเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอลก็ตาม

 

ขณะที่สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ก็ได้เพิ่มบทลงโทษขั้นรุนแรง กับนักเตะที่มีพฤติกรรมเหยียดผิว รวมถึงมีแนวคิดที่จะให้อำนาจผู้ตัดสิน เป่าหยุดการแข่งขันชั่วคราว หากมีเหตุการณ์ในเชิงเหยียดผิวเกิดขึ้นในสนาม ไม่ว่าจะมาจากฝั่งผู้เล่นหรือกองเชียร์

 

อย่างไรก็ตาม ความพยายามควบคุมการเหยียดผิวในวงการฟุตบอลอย่างเข้มงวด โดยไม่คำนึงถึงบริบทในความแตกต่างของวัฒนธรรมและภาษา ก็อาจส่งผลกระทบในด้านอื่นๆเช่นกัน เช่นกรณีการลงโทษหลุยส์ ซัวเรซ ที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวอุรุกวัย ประเทศบ้านเกิดของดาวยิงทีมหงส์แดงอย่างมาก เนื่องจากชาวอุรุกวัยมองว่าการกระทำของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวต่างชาติ ถึงขั้นที่สถานทูตอุรุกวัยในอังกฤษ เแสดงจุดยืนพร้อมให้ความช่วยเหลือกับ​ซัวเรซ​อย่างเต็มที่ในทุกด้าน ซึ่งตรงกับการวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์การ์เดียน ที่ระบุว่าการลงโทษหลุยส์ ซัวเรซ คือความพยายามในการแสดงให้เห็นถึงอำนาจในการควบคุมการแข่งขัน และเป็นการกู้ภาพลักษณ์ของวงการฟุตบอลอังกฤษที่กำลังตกต่ำลง ให้กลับคืนมาอีกครั้ง

 

Produced by VoiceTV