ผลงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ชายเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสมะเร็งในช่องปากมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเซลล์มะเร็งที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดนี้อาจลุกลามไปยังบริเวณลำคอและศีรษะของผู้ติดเชื้อได้ วารสารของแพทยสมาคมของสหรัฐฯ ฉบับล่าสุดได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของศูนย์ศึกษามะเร็งครบวงจร ของมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐโอไฮโอ ซึ่งระบุว่า ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus หรือ HPV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งในช่องปาก มากกว่าผู้หญิง โดยแพทย์ได้ทำการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,500 คน ตั้งแต่อายุ 14 ปี ถึง 69 ปี พบว่า ผู้ชายในกลุ่มตัวอย่างประมาณร้อยละ 10 ติดเชื้อไวรัส HPV ขณะที่ผู้หญิงติดเชื้อดังกล่าวเพียงร้อยละ 3.6 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มสุราและการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นมะเร็งในช่องปาก ศีรษะและลำคอ แต่ผลงานวิจัยล่าสุดพบว่า เชื้อไวรัสการติดเชื้อ HPV ในช่องปากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคมะเร็งถึงร้อยละ 50 ขณะที่ข้อมูลทางสถิติในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า มียอดผู้ป่วยโรคมะเร็งในช่องปาก ศีรษะและลำคอในเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคมะเร็งชนิดดังกล่าว ในรายงานการวิจัย ทีมวิจัยซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงมอร์รา กิลลิสัน (Maura Gillison) ได้ระบุว่า ข้อค้นพบจากงานวิจัยสามารถนำไปต่อยอดในการผลิตวัคซีนต้านไวรัส HPV ซึ่งจะต้องศึกษาถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งชนิดดังกล่าวได้ดีเพียงใด นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้คาดการณ์ถึงแนวโน้มผู้ป่วยโรคมะเร็งในลำคอและศีรษะซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส HPV ภายในปี 2563 จะเพิ่มสูงขึ้นจนแซงหน้ายอดผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสหรัฐฯ แต่ถ้าหากมีการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส HPV อย่างจริงจังก็อาจจะช่วยควบคุมจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งจากไวรัส HPV ได้ ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว เชื้อไวรัส HPV เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่ในระยะหลังแพทย์ตรวจพบโรคมะเร็งที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมในการมีเพศสัมพันธ์แบบโอษฐกาม หรือ oral sex Produced by VoiceTV |