กระแสความเปลี่ยนแปลงในราชวงศ์ตะวันออกกลาง
กระแสการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลในโลกอาหรับตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้นำเผด็จการทั่วโลกตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเข้าสู่กระแสของประชาธิปไตย โดยเฉพาะบรรดาราชวงศ์ในตะวันออกกลาง
นับตั้งแต่กระแสการต่อต้านสถาบันกษัตริย์อันเนื่องมาจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเมื่อปี2522 เป็นต้นมา ปรากฎการณ์อาหรับสปริง หรือการลุกฮือของมวลชนขึ้นต่อต้านและโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในโลกอาหรับ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ในหลายๆประเทศในตะวันออกกลาง ที่ซึ่งระบอบราชาธิปไตยแบบดั้งเดิมยังคงเป็นระบบการปกครองที่ได้รับการยอมรับในภูมิภาค
ความสำเร็จของมวลชนระดับรากหญ้าในการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ ทำให้บรรดากษัตริย์ในตะวันออกกลางเริ่มตระหนักว่าหากราชวงศ์ยังคงยึดติดกับระบอบการปกครองแบบดั้งเดิม ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ ก็อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกับมูอัมมาร์ กัดดาฟีแห่งลิเบีย หรือฮอสนี มูบารัก แห่งอียิปต์ ผู้ถูกโค่นล้มโดยพลังประชาชน
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จึงมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในหลายรัฐ โดยท่าทีของบรรดาราชวงศ์ที่เคยเพิกเฉยต่อกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในประเทศมาโดยตลอด กลับยืดหยุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กษัตริย์มูฮัมหมัดที่ 6 แห่งโมร็อคโค นับว่าเป็นกษัตริย์ที่เปิดกว้างที่สุดในการรับมือกับกระแสเรียกร้องประชาธิปไตย โดยทรงตอบรับข้อเรียกร้องที่สำคัญที่สุดจากกลุ่มผู้ประท้วงในประเทศ นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญขนานใหญ่ ลดอำนาจของสถาบันกษัตริย์ลง โดยกระจายอำนาจการบริหารประเทศให้กับฝ่ายตุลาการ รัฐสภา นายกรัฐมนตรี รวมถึงสภาท้องถิ่น ซึ่งทำให้โมร็อคโคกลายเป็นประเทศที่มีการปกครองใกล้เคียงกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ขณะที่ในบาห์เรน ถึงแม้ว่าต้องเผชิญกับกระแสการลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชนอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน แต่กษัตริย์ฮามัด อัล คอลีฟะห์ก็ทรงรับมือกับกลุ่มผู้ประท้วงอย่างเปิดกว้างเป็นอย่างมาก โดยทรงตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นตรวจสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 35 ราย นอกจากนี้ยังทรงจัดให้มีการปฏิรูปประเทศ โดยเชิญผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเข้าร่วมในคณะกรรมการปฏิรูปดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานต่อเนื่องและเข้มข้นกว่าในราชรัฐอื่นๆ กลับมีแนวทางในการรับมือกับกระแสมวลชนที่ต่างออกไป รัฐบาลของกษัตริย์อับดุลลาห์ลดกระแสต่อต้านในประเทศด้วยการเพิ่มงบประมาณด้านสวัสดิการให้แก่ประชาชน โดยทรงหวังว่านโยบายด้านเศรษฐกิจดังกล่าวจะช่วยลดความไม่พอใจที่ภาคประชาชนมีต่อรัฐบาลได้ ในขณะที่ข้อเรียกร้องทางการเมืองจากฝ่ายผู้ประท้วงกลับถูกเพิกเฉย โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากซาอุดิอาระเบียกำหนดให้คัมภีร์อัล กุรอาน เป็นธรรมนูญสูงสุดของประเทศ
ถึงแม้ว่ากระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยในตะวันออกกลาง จะส่งผลให้สถาบันกษัตริย์หลายประเทศในภูมิภาคพยายามปรับตัวเข้าสู่การปกครองภายใต้หลักนิติรัฐมากขึ้น แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า การปฏิรูปที่กำลังดำเนินอยู่ในหลายประเทศ เป็นเพียงกลยุทธการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์โดยปราศจากความจริงใจที่จะส่งมอบอำนาจให้แก่ปวงชนอย่างแท้จริง และคณะกรรมการปฏิรูปหรือการสมานฉันท์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศนั้น ก็เป็นเพียงการซื้อเวลาและซื้อใจประชาชนเท่านั้น เมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็ยังคงไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดให้สิทธิในการเลือกตั้งแก่ประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของประชาธิปไตย
ดังนั้น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ดูเหมือนว่ากำลังเริ่มผลิบานในดินแดนตะวันออกกลาง อาจกลายเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ เป็นการสวมหน้ากากแห่งประชาธิปไตยให้ผู้นำเผด็จการเท่านั้น
Produced by VoiceTV |